เนื่องจากเห็นความขัดแย้งทางการเมืองตามข่าวต่างๆ และนำไปสู่ความขัดแย้งของคนไทยด้วยกันเอง
ทั้งที่คนไทยควรจะรักกัน ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
ฝ่ายขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายอ้างประชาธิปไตยด้วยกันทั้งคู่ แต่ความหมายที่แท้จริงของประชาธิปไตยคืออะไร ?
จากที่ผมรู้ เมื่อมีการเลือกตั้งได้ ส.ส. 500 คน ก็จะมีรัฐบาล
โดย ส.ส. ย่อมาจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ผู้แทนราษฎร พูดง่ายๆคือ ผู้แทนชาวบ้าน (ราษฎรแปลว่าชาวบ้าน)
เช่น เวลาถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ชาวบ้านก็ไปบอก ส.ส. มาซ่อมถนนให้หน่อย ส.ส. ก็มีหน้าที่หาวิธีซ่อมถนน
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราบอก สส ว่าถนนเป็นหลุม แล้ว สส บอกว่า ไม่ใช่งานของฉัน
นั่นคือ สส ไม่ใช่ผู้แทนชาวบ้าน อีก 4 ปี เราก็อย่าเลือกคนเดิมละกัน เลือกแล้วไม่ยอมซ่อมถนนให้เรา
อันนี้ผมนิยามคำว่า ส.ส. คือ "ผู้แทนชาวบ้าน" ไปแล้วนะครับ
ขอพูดถึงสิ่งที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยบ้าง คือ ระบบบริษัท
มีประธานบริษัท และมีพนักงานบริษัท
ถ้าพนักงานแข็งข้อ ก็โดนไล่ออก ถ้าเอาใจเจ้านายเก่ง ก็ได้ขึ้นเงินเดือน
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของบริษัท
ดังนั้นต้องแยกให้ออก คำว่า ผู้แทนชาวบ้าน กับ ระบบบริษัท
ผมคงไม่ชี้นำว่าความขัดแย้งที่มีอยู่ ฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนถูก
หากทั้ง 2 ฝ่าย ต้องการประชาธิปไตย สิ่งที่ผมหวังคือ ...
ส.ส. เป็นตัวแทนของชาวบ้าน และไม่เป็นพนักงานของบริษัทใดทั้งสิ้น
เป็นตัวแทนชาวบ้านที่คอยช่วยเหลือชาวบ้าน
และคนไทยช่วยกันพัฒนาชาติให้เจริญก้าวหน้า
ใครจะเป็นนายก ใครจะเป็นรัฐบาล ผมเคารพหมดทุกท่าน
ขอแค่ ส.ส. เป็นตัวแทนของชาวบ้าน และคนไทยไม่ทะเลาะกัน แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว ...
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ใครสร้างโลก ?
ที่บ้านเลี้ยงไก่ 1 ฝูง และแมว 3 ตัว เป็นแมวเด็ก 2 ตัว ทุกครั้งที่เปิดกรง แมวเด็กจะวิ่งไปที่จุดให้อาหาร และกินอาหารเม็ดจนหมด จากนั้นจะเริ่มดมๆ หากินเศษอาหารรอบๆครัว ไม่ว่าข้าวเปล่า หรืออะไรก็ตามที่กินได้ เหมียวน้อยกินหมด
สิ่งนี้ให้แนวคิดว่า สัตว์มีลิ้นไว้รับรสอาหาร และมีจมูกไว้ดมหาแหล่งอาหาร
สัตว์ที่เป็นเด็กประสาทสัมผัสส่วนนี้จะทำงานดีเป็นพิเศษ
เพื่อให้มันหาอาหารได้ และกินอาหาร และเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พูดง่ายๆ มนุษย์ และสัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้ มีประสาทสัมผัสที่จะรับรส และกินอาหาร
แล้วมันบอกเราได้ไงว่าใครสร้างโลก มันเป็นธรรมชาตินี่นา ?
ผมเคยเล่นเกม happy คนเลี้ยงหมู เกมจะเริ่มจากหมู 2 ตัว เราผสมพันธ์และให้อาหารจนมีหมูเป็น 100 ตัว
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมื่อ 10000 ปีก่อน โลกเรามีคน 2 คน แล้ว 2 คนนี้ไม่กินอาหาร และไม่ผสมพันธุ์
โลกก็จะสิ้นสุด ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสัตว์
ดังนั้น ใครก็ตามที่สร้างโลก ได้สร้างลิ้นกับปาก กับจมูก ให้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ
รวมถึงสร้างความหื่นด้วย เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆขยายพันธ์
เมื่อเปรียบเทียบกับเกมเลี้ยงหมูแล้ว โลกเราต้องมีใครสักคนสร้างขึ้นมาแน่ ๆ .....
สิ่งนี้ให้แนวคิดว่า สัตว์มีลิ้นไว้รับรสอาหาร และมีจมูกไว้ดมหาแหล่งอาหาร
สัตว์ที่เป็นเด็กประสาทสัมผัสส่วนนี้จะทำงานดีเป็นพิเศษ
เพื่อให้มันหาอาหารได้ และกินอาหาร และเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พูดง่ายๆ มนุษย์ และสัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้ มีประสาทสัมผัสที่จะรับรส และกินอาหาร
แล้วมันบอกเราได้ไงว่าใครสร้างโลก มันเป็นธรรมชาตินี่นา ?
ผมเคยเล่นเกม happy คนเลี้ยงหมู เกมจะเริ่มจากหมู 2 ตัว เราผสมพันธ์และให้อาหารจนมีหมูเป็น 100 ตัว
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมื่อ 10000 ปีก่อน โลกเรามีคน 2 คน แล้ว 2 คนนี้ไม่กินอาหาร และไม่ผสมพันธุ์
โลกก็จะสิ้นสุด ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสัตว์
ดังนั้น ใครก็ตามที่สร้างโลก ได้สร้างลิ้นกับปาก กับจมูก ให้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ
รวมถึงสร้างความหื่นด้วย เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆขยายพันธ์
เมื่อเปรียบเทียบกับเกมเลี้ยงหมูแล้ว โลกเราต้องมีใครสักคนสร้างขึ้นมาแน่ ๆ .....
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556
รีวิว The Lone Ranger
จากทีมผู้สร้าง Pirates of the Caribbean ทั้งผู้กำกับ, คนเขียนบท, นักแสดง และ ผู้อำนวยการสร้าง
หนังถูกสบประมาทไว้ว่าเจ๊งแน่ๆ และผลออกมาเจ๊งจริงๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมไม่รู้สึกอยากดู
เหมือนหนังฟอร์มยักษ์ที่เจ๊งเรื่องอื่นๆ ผมจะดูเพื่อพิสูจน์ว่ามันสมควรเจ๊งจริงหรือเปล่า
King Kong : เนื้อเรื่องยืดยาดเกินไป
Superman Return : เปิดเรื่องได้น่าเบื่อมาก แต่หลังจากนั้นก็สนุกดี
John Carter : มันน่าเบื่อจริงๆนะ มองไปทางไหน มีแต่ทะเลทราย เนื้อเรื่องไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย
The Lone Ranger .... สุดยอด ... สมฝีมือของผู้กำกับ Gore Verbinski , Johnny Depp ก็ยังเป็นกัปตันติงต๊องเหมือนเดิม (น่ารักดี)
ขอพูดถึงส่วนที่ขอติก่อน
1. แค่หนัง Cowboys จะทุนสร้างอะไรตั้ง 200 ล้าน คนอื่นเขามีแค่ 10 ล้านก็สร้างหนัง Cowboy ได้แล้ว
2. จบเหมือนหนังเกย์ แทนที่จะลงเอยกับนางเอก ดันวิ่งหนีนางเอก แล้วควบม้าไปกับผู้ชาย
3. นางเอกเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่ดึงดูดให้ผู้ชายอยากดู
และขอพูดส่วนที่ขอชม
ตอนผมเป็นเด็ก หนังไทยสมัยก่อนที่ฉายให้ดูช่อง 7 บางเรื่องจะให้แง่คิด ให้คติสอนใจ
พักหลังๆมานี้ หนัง Hollywood เน้นแต่ฉากอลังการ เนื้อเรื่องสนุก แต่มองข้ามการให้แง่คิด
The Lone Ranger คือหนังที่ให้คติสอนใจ และให้แง่คิดที่ดีๆ กับคนดู
โดยเฉพาะกับคนไทยทั้งประเทศ
ว้าว ..... คิดได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ
ตอนกลางๆเรื่อง เมื่ออินเดียแดงเล่าภูมิหลังของทอนโต้ (ขออนุญาติสปอย)
ในวัยเด็ก ทอนโต้เจอคนขาว 2 คนสลบอยู่ จึงช่วยพากลับมารักษาตัวในหมู่บ้านอินเดียแดง
คนขาวเจอหินก้อนหนึ่งเป็นสีเงิน และรู้ว่าเป็นแร่เงิน จึงถามเด็กว่า เอาหินก้อนนี้มาจากไหน
เด็กไม่บอก ... คนขาวจึงให้นาฬิกาพก 1 อันแก่เด็ก เด็กดีใจมาก และพาไปดูแหล่งที่มีหินสีเงิน
คนขาวโลภมากหอบหินใส่เต็มกระเป๋า ก็เอาไปไม่หมด
คนขาวอยากจะเก็บสถานที่นี้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ จึงฆ่าหมดทั้งหมู่บ้าน และจากไป
ทอนโต้ในวัยเด็กเสียใจมาก และตั้งใจว่าโตขึ้นจะต้องล้างแค้นให้ได้
เฉพาะ 10 นาทีนี้ นี่ละครับ คือสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศควรดู
เด็กน้อยดีใจที่ได้นาฬิกาพก แต่ต้องแลกกับชีวิตของคนทุกคนในหมู่บ้าน
และในตอนใกล้จบ ทอนโต้คืนนาฬิกาพกให้คนขาว และพูดว่า "แลกแล้วไม่คุ้ม"
เมืองไทยเรา ตลอด 15 ปีมานี้ คนไทยบางส่วน นิยมชมชอบการได้รับของฟรี
แต่ไม่รู้เลยว่า ต้องสูญเสียสิ่งอื่นที่มีค่ามากกว่า
แค่แง่คิดเล็กๆ ที่ผู้กำกับสอดแทรกไว้ในหนังนี่แหล่ะ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจของผมอีกเรื่องหนึ่ง
.
หนังถูกสบประมาทไว้ว่าเจ๊งแน่ๆ และผลออกมาเจ๊งจริงๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมไม่รู้สึกอยากดู
เหมือนหนังฟอร์มยักษ์ที่เจ๊งเรื่องอื่นๆ ผมจะดูเพื่อพิสูจน์ว่ามันสมควรเจ๊งจริงหรือเปล่า
King Kong : เนื้อเรื่องยืดยาดเกินไป
Superman Return : เปิดเรื่องได้น่าเบื่อมาก แต่หลังจากนั้นก็สนุกดี
John Carter : มันน่าเบื่อจริงๆนะ มองไปทางไหน มีแต่ทะเลทราย เนื้อเรื่องไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย
The Lone Ranger .... สุดยอด ... สมฝีมือของผู้กำกับ Gore Verbinski , Johnny Depp ก็ยังเป็นกัปตันติงต๊องเหมือนเดิม (น่ารักดี)
ขอพูดถึงส่วนที่ขอติก่อน
1. แค่หนัง Cowboys จะทุนสร้างอะไรตั้ง 200 ล้าน คนอื่นเขามีแค่ 10 ล้านก็สร้างหนัง Cowboy ได้แล้ว
2. จบเหมือนหนังเกย์ แทนที่จะลงเอยกับนางเอก ดันวิ่งหนีนางเอก แล้วควบม้าไปกับผู้ชาย
3. นางเอกเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่ดึงดูดให้ผู้ชายอยากดู
และขอพูดส่วนที่ขอชม
ตอนผมเป็นเด็ก หนังไทยสมัยก่อนที่ฉายให้ดูช่อง 7 บางเรื่องจะให้แง่คิด ให้คติสอนใจ
พักหลังๆมานี้ หนัง Hollywood เน้นแต่ฉากอลังการ เนื้อเรื่องสนุก แต่มองข้ามการให้แง่คิด
The Lone Ranger คือหนังที่ให้คติสอนใจ และให้แง่คิดที่ดีๆ กับคนดู
โดยเฉพาะกับคนไทยทั้งประเทศ
ว้าว ..... คิดได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ
ตอนกลางๆเรื่อง เมื่ออินเดียแดงเล่าภูมิหลังของทอนโต้ (ขออนุญาติสปอย)
ในวัยเด็ก ทอนโต้เจอคนขาว 2 คนสลบอยู่ จึงช่วยพากลับมารักษาตัวในหมู่บ้านอินเดียแดง
คนขาวเจอหินก้อนหนึ่งเป็นสีเงิน และรู้ว่าเป็นแร่เงิน จึงถามเด็กว่า เอาหินก้อนนี้มาจากไหน
เด็กไม่บอก ... คนขาวจึงให้นาฬิกาพก 1 อันแก่เด็ก เด็กดีใจมาก และพาไปดูแหล่งที่มีหินสีเงิน
คนขาวโลภมากหอบหินใส่เต็มกระเป๋า ก็เอาไปไม่หมด
คนขาวอยากจะเก็บสถานที่นี้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ จึงฆ่าหมดทั้งหมู่บ้าน และจากไป
ทอนโต้ในวัยเด็กเสียใจมาก และตั้งใจว่าโตขึ้นจะต้องล้างแค้นให้ได้
เฉพาะ 10 นาทีนี้ นี่ละครับ คือสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศควรดู
เด็กน้อยดีใจที่ได้นาฬิกาพก แต่ต้องแลกกับชีวิตของคนทุกคนในหมู่บ้าน
และในตอนใกล้จบ ทอนโต้คืนนาฬิกาพกให้คนขาว และพูดว่า "แลกแล้วไม่คุ้ม"
เมืองไทยเรา ตลอด 15 ปีมานี้ คนไทยบางส่วน นิยมชมชอบการได้รับของฟรี
แต่ไม่รู้เลยว่า ต้องสูญเสียสิ่งอื่นที่มีค่ามากกว่า
แค่แง่คิดเล็กๆ ที่ผู้กำกับสอดแทรกไว้ในหนังนี่แหล่ะ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจของผมอีกเรื่องหนึ่ง
.
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556
รีวิว เที่ยวภูกระดึง
จากที่อ่านในเน็ต เห็นมีรีวิวเที่ยวภูกระดึงเยอะอยู่แล้ว ดังนั้น จะขอเขียนสรุปสั้นๆ ดังนี้
1. เหตุผลที่ไปเที่ยวภูกระดึง
- ราคาถูก เมื่อเราเดินทางไปถึงภูกระดึงแล้ว เราไม่ต้องเสียค่ารถ ค่าเรือ
หลังจากนั้น มีแต่เดินกับเดิน อยากไปเที่ยวไหน ... เดินไป
- โดยเฉพาะเมื่อเราเอาเต็นท์ไปเอง เสียค่าพื้นที่กางเต๊นท์ วันละ 60 บาท กับค่าบัตรเข้าอุทยานแค่ 40 บาท เที่ยว 3 วัน อุทยานเก็บตังค์เราแค่ 220 บาท ไม่แน่ใจว่าไปเที่ยวที่อื่น 4 วัน 3 คืน จะได้ราคาถูกขนาดนี้หรือเปล่า
- บนยอดภูกระดึง มีจุดแวะเที่ยวมากกว่า 10 จุด แล้วแต่ความขยันเดินของเราว่าจะไปไหน
2. จะเที่ยวภูกระดึง ต้องระวังอะไรบ้าง
ควรเดินขึ้นเขาก่อนเวลา 11 โมง เพราะต้องใช้เวลาเดินขึ้น 6 ชม กว่าจะถึงจุดกางเต๊นท์
ถ้าเดินช้า หรือพระอาทิตย์ตกเร็ว อาจมืดระหว่างทาง เป็นอันตรายได้
- ระวังรองเท้ากัด : ควรเตรียมไปทั้งรองเท้าแตะ และรองเท้าหุ้มส้น เน้นที่ใส่สบายไม่กัดเท้า เพราะต้องเดินเยอะมาก ถ้ารองเท้ากัด คุณจะเดินอย่างทรมานสุดๆ
- ระวังทากดูดเลือด : มันชอบกระโดดเกาะขา แขน ลำตัว ทากจะเยอะในหน้าฝน (ต.ค.-พ.ย.) และจะน้อยในหน้าหนาว สำหรับจุดกางเต๊นท์ โซน V จะมีทากเยอะ โซน H, L จะไม่มีทาก
- ระวังหนาว : เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย อุณภูมิอาจต่ำถึง 8 องศา ในตอนกลางคืน
- ระวังลื่น : ในการเดินขึ้นเขาระยะทาง 5 ก.ม. พยายามก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าล้มจนขาหัก จะกลายเป็นคนพิการได้ (ตอนเดินลงเขาก็ต้องระวังเหมือนกัน)
- ระวังช้างเหยียบ : อย่าไปไหนตามลำพัง ควรเดินเป็นกลุ่มใหญ่ ในเส้นทางที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ อ่านป้ายคำเตือนต่างๆ อย่ามัวแต่ฟังเพลงเพราะเราต้องใช้หูฟังเสียงแปลกๆในป่า
เส้นทางอันตรายคือเส้นทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะนัดรวมกันเวลาตี 5 มีทหารเดินนำทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้น
เส้นทางเดินกลับจากผานกแอ่นผ่านลานพระแก้วกลับมาที่จุดบริการนักท่องเที่ยว มีเหตุช้างป่าเหยียบคนมาแล้วหลายครั้ง ควรเดินเป็นกลุ่ม และหมั่นสังเกตุระหว่างเดินทางนี้
- ระวังสัตว์ป่าคุ้ยอาหารในเต๊นท์ : ไม่ควรเก็บอาหารไว้ในเต๊นท์ ควรกินให้หมด และทิ้งถังขยะให้เรียบร้อย หากสัตว์ป่าได้กลิ่นอาหาร มันอาจบุกพังเต๊นท์ เป็นอันตรายได้ (สัตว์อาจมาตอนเที่ยงคืน)
และไม่ควรกางเต๊นท์ใกล้ถังขยะ เพราะกลางคืนสัตว์ป่าชอบมาเดินรอบๆถังขยะ (เนื่องจากมีกลิ่นอาหาร)
นอกจากนี้ เวลาไปไหนควรไปเป็นกลุ่ม เผื่อมีปัญหา จะได้มีคนช่วยได้
3. ต้องเตรียมอะไรบ้าง
- เต๊นท์ที่พัก (เอาเต๊นท์ไปเอง เสียค่าพื้นที่กางเต๊นท์แค่วันละ 60) สภาพดี ไม่มีรูรั่ว (กันน้ำค้าง กันทาก)
- เสื้อกันหนาว (สำคัญมาก)
- รองเท้าแตะ (ใส่สบาย) กับรองเท้าผ้าใบ (กันทากเกาะเท้า)
- กางเกงขาสั้น (ใส่เดินขึ้นเขา เพื่อความคล่องตัว)
- กางเกงขายาว (ใส่นอนขาจะได้ไม่เย็น และกันทากเกาะเท้าด้วย)
- ถุงเท้าลูกเสือ (กันทากเกาะขา)
- หมวกไอ้โม่ง (ใส่ตอนนอนกันทากเข้าหู)
ไม่ต้องเอาผ้าห่มไป ไปเช่าถุงนอนวันละ 30 บาท อุ่นกว่า
เวลาเรานอนในถุงนอน ส่วนหัวจะอยู่นอกถุง
ถุงนอนจะทำหน้าที่เป็นทั้งพื้นรองนอน และเป็นผ้าห่ม รวมถึงกันทากเกาะขาด้วย
(เอาผ้าห่มบางๆไป 1 ผืนก็ได้ สำหรับคลุมหัว ส่วนที่ถุงนอนไม่คลุม)
- แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, สบู่, ยาสระผม, ผ้าเช็ดตัว (ใช้หนุนแทนหมอนได้ด้วย)
- ไฟฉาย, ที่ชารตแบทมือถือ (มีบริการชารตแบท 2 ชม 20 บาท)
- หูฟัง (เอาไว้อุดหูตอนนอน ป้องกันทากเข้าหู)
- น้ำเปล่า 2-3 ขวด (เอาไปด้วย ช่วยประหยัดได้)
- แป้งทาตัว (เอาไว้โรยรอบเต๊นท์) เอาไว้ทาตามเท้า ตามมือ (กันทาก)
- พลาสเตอร์ปิดแผล, ยาคลายกล้ามเนื้อ, ยาดม, ยาแก้ไข้
- เข็ม ด้าย (เผื่อกางเกงเป้าขาด เป้สะพายขาดจากน้ำหนักเกิน)
4. อยู่บนภูกระดึงแล้ว ควรไปเที่ยวไหน
- ควรเดินไปน้ำตกวังกวาง เส้นทางนั้น วิวสวย เดินไม่ไกล มี 5 น้ำตก ติดต่อกัน เริ่มเดิน 9 โมง เที่ยงก็กลับถึงที่พักแล้ว (เป็นเส้นทางใกล้ป่าปิด ควรไปเป็นกลุ่ม และระวังช้างด้วย)
- ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น รวมตัวกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวลาตี 5 จะมีเจ้าหน้าที่นำทางไป
- เดินจากที่พักไปสระอโนดาด, ผานาน้อย, ผาจำศีล, ผาหมากดูดแล้วกลับที่พัก
ผมเคยเดินจากที่พักไปผาหล่มสัก แล้วเดินเลาะหน้าผากลับที่พัก ปรากฏว่าขาลาก เพราะเดิน 20 ก.ม.
หากจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก เตรียมตัวให้พร้อม
ทางที่ดีเช่าจักรยานถึบไปจะดีกว่า น่าจะสบายกว่า
5. ค่าใช้จ่าย
นอกจากค่ากางเต๊นท์ ค่าผ่านประตูที่ราคาถูกแล้ว ส่วนที่แพงจะเป็นค่าอาหาร และสินค้าทุกอย่างที่ขายบนนั้น เพราะต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป
ข้าวผัดกระเพรา 60
ข้าวราดแกงกับข้าว 2 อย่าง 70
กาแฟ 40
โค้กเล็ก 40
น้ำเปล่าเล็ก 30
น้ำเต้าหู้ 25
กาแฟร้อน 25
โดยส่วนตัว ผมมองว่าไม่แพง เท่าที่ซื้อกินหลายร้าน บริการดีทุกร้าน กับข้าวก็ตักเต็มจาน
ดูจากต้นทุนที่ต้องจ้างลูกหาบแล้ว ถือว่าราคาไม่แพงเลย
คิดง่ายๆ ข้าว + น้ำ มื้อละ 100 พอดี วันละ 3 มื้อก็ 300 บาท
แต่ผมมีวิธีประหยัดคือ
- ตอนเช้ากินน้ำเต้าหู้ 25 บาท
- เที่ยงกินกาแฟเย็น 40 บาท
- 4 โมงเย็น กินข้าวราดแกง + เป๊ปซี่เล็ก 100 บาท
- 2 ทุ่ม กินน้ำเต้าหู้แก้หนาว 25 บาท
(แต่ในความเป็นจริง บางวันผมก็กินข้าวทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง แล้วแต่อารมณ์)
พยายามเตรียมเงินไปเผื่อๆไว้ จะได้มีเงินซื้อข้าวและมีแรงเที่ยว
พวกขนม กับมาม่าที่เตรียมไปผมไม่ได้กินเลย กินข้าวที่ร้านข้าวแกงอร่อยกว่า :)
1. เหตุผลที่ไปเที่ยวภูกระดึง
- ราคาถูก เมื่อเราเดินทางไปถึงภูกระดึงแล้ว เราไม่ต้องเสียค่ารถ ค่าเรือ
หลังจากนั้น มีแต่เดินกับเดิน อยากไปเที่ยวไหน ... เดินไป
- โดยเฉพาะเมื่อเราเอาเต็นท์ไปเอง เสียค่าพื้นที่กางเต๊นท์ วันละ 60 บาท กับค่าบัตรเข้าอุทยานแค่ 40 บาท เที่ยว 3 วัน อุทยานเก็บตังค์เราแค่ 220 บาท ไม่แน่ใจว่าไปเที่ยวที่อื่น 4 วัน 3 คืน จะได้ราคาถูกขนาดนี้หรือเปล่า
- บนยอดภูกระดึง มีจุดแวะเที่ยวมากกว่า 10 จุด แล้วแต่ความขยันเดินของเราว่าจะไปไหน
2. จะเที่ยวภูกระดึง ต้องระวังอะไรบ้าง
ควรเดินขึ้นเขาก่อนเวลา 11 โมง เพราะต้องใช้เวลาเดินขึ้น 6 ชม กว่าจะถึงจุดกางเต๊นท์
ถ้าเดินช้า หรือพระอาทิตย์ตกเร็ว อาจมืดระหว่างทาง เป็นอันตรายได้
- ระวังรองเท้ากัด : ควรเตรียมไปทั้งรองเท้าแตะ และรองเท้าหุ้มส้น เน้นที่ใส่สบายไม่กัดเท้า เพราะต้องเดินเยอะมาก ถ้ารองเท้ากัด คุณจะเดินอย่างทรมานสุดๆ
- ระวังทากดูดเลือด : มันชอบกระโดดเกาะขา แขน ลำตัว ทากจะเยอะในหน้าฝน (ต.ค.-พ.ย.) และจะน้อยในหน้าหนาว สำหรับจุดกางเต๊นท์ โซน V จะมีทากเยอะ โซน H, L จะไม่มีทาก
- ระวังหนาว : เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย อุณภูมิอาจต่ำถึง 8 องศา ในตอนกลางคืน
- ระวังลื่น : ในการเดินขึ้นเขาระยะทาง 5 ก.ม. พยายามก้าวอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าล้มจนขาหัก จะกลายเป็นคนพิการได้ (ตอนเดินลงเขาก็ต้องระวังเหมือนกัน)
- ระวังช้างเหยียบ : อย่าไปไหนตามลำพัง ควรเดินเป็นกลุ่มใหญ่ ในเส้นทางที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ อ่านป้ายคำเตือนต่างๆ อย่ามัวแต่ฟังเพลงเพราะเราต้องใช้หูฟังเสียงแปลกๆในป่า
เส้นทางอันตรายคือเส้นทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะนัดรวมกันเวลาตี 5 มีทหารเดินนำทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้น
เส้นทางเดินกลับจากผานกแอ่นผ่านลานพระแก้วกลับมาที่จุดบริการนักท่องเที่ยว มีเหตุช้างป่าเหยียบคนมาแล้วหลายครั้ง ควรเดินเป็นกลุ่ม และหมั่นสังเกตุระหว่างเดินทางนี้
- ระวังสัตว์ป่าคุ้ยอาหารในเต๊นท์ : ไม่ควรเก็บอาหารไว้ในเต๊นท์ ควรกินให้หมด และทิ้งถังขยะให้เรียบร้อย หากสัตว์ป่าได้กลิ่นอาหาร มันอาจบุกพังเต๊นท์ เป็นอันตรายได้ (สัตว์อาจมาตอนเที่ยงคืน)
และไม่ควรกางเต๊นท์ใกล้ถังขยะ เพราะกลางคืนสัตว์ป่าชอบมาเดินรอบๆถังขยะ (เนื่องจากมีกลิ่นอาหาร)
นอกจากนี้ เวลาไปไหนควรไปเป็นกลุ่ม เผื่อมีปัญหา จะได้มีคนช่วยได้
3. ต้องเตรียมอะไรบ้าง
- เต๊นท์ที่พัก (เอาเต๊นท์ไปเอง เสียค่าพื้นที่กางเต๊นท์แค่วันละ 60) สภาพดี ไม่มีรูรั่ว (กันน้ำค้าง กันทาก)
- เสื้อกันหนาว (สำคัญมาก)
- รองเท้าแตะ (ใส่สบาย) กับรองเท้าผ้าใบ (กันทากเกาะเท้า)
- กางเกงขาสั้น (ใส่เดินขึ้นเขา เพื่อความคล่องตัว)
- กางเกงขายาว (ใส่นอนขาจะได้ไม่เย็น และกันทากเกาะเท้าด้วย)
- ถุงเท้าลูกเสือ (กันทากเกาะขา)
- หมวกไอ้โม่ง (ใส่ตอนนอนกันทากเข้าหู)
ไม่ต้องเอาผ้าห่มไป ไปเช่าถุงนอนวันละ 30 บาท อุ่นกว่า
เวลาเรานอนในถุงนอน ส่วนหัวจะอยู่นอกถุง
ถุงนอนจะทำหน้าที่เป็นทั้งพื้นรองนอน และเป็นผ้าห่ม รวมถึงกันทากเกาะขาด้วย
(เอาผ้าห่มบางๆไป 1 ผืนก็ได้ สำหรับคลุมหัว ส่วนที่ถุงนอนไม่คลุม)
- แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, สบู่, ยาสระผม, ผ้าเช็ดตัว (ใช้หนุนแทนหมอนได้ด้วย)
- ไฟฉาย, ที่ชารตแบทมือถือ (มีบริการชารตแบท 2 ชม 20 บาท)
- หูฟัง (เอาไว้อุดหูตอนนอน ป้องกันทากเข้าหู)
- น้ำเปล่า 2-3 ขวด (เอาไปด้วย ช่วยประหยัดได้)
- แป้งทาตัว (เอาไว้โรยรอบเต๊นท์) เอาไว้ทาตามเท้า ตามมือ (กันทาก)
- พลาสเตอร์ปิดแผล, ยาคลายกล้ามเนื้อ, ยาดม, ยาแก้ไข้
- เข็ม ด้าย (เผื่อกางเกงเป้าขาด เป้สะพายขาดจากน้ำหนักเกิน)
4. อยู่บนภูกระดึงแล้ว ควรไปเที่ยวไหน
- ควรเดินไปน้ำตกวังกวาง เส้นทางนั้น วิวสวย เดินไม่ไกล มี 5 น้ำตก ติดต่อกัน เริ่มเดิน 9 โมง เที่ยงก็กลับถึงที่พักแล้ว (เป็นเส้นทางใกล้ป่าปิด ควรไปเป็นกลุ่ม และระวังช้างด้วย)
- ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น รวมตัวกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวลาตี 5 จะมีเจ้าหน้าที่นำทางไป
- เดินจากที่พักไปสระอโนดาด, ผานาน้อย, ผาจำศีล, ผาหมากดูดแล้วกลับที่พัก
ผมเคยเดินจากที่พักไปผาหล่มสัก แล้วเดินเลาะหน้าผากลับที่พัก ปรากฏว่าขาลาก เพราะเดิน 20 ก.ม.
หากจะไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก เตรียมตัวให้พร้อม
ทางที่ดีเช่าจักรยานถึบไปจะดีกว่า น่าจะสบายกว่า
5. ค่าใช้จ่าย
นอกจากค่ากางเต๊นท์ ค่าผ่านประตูที่ราคาถูกแล้ว ส่วนที่แพงจะเป็นค่าอาหาร และสินค้าทุกอย่างที่ขายบนนั้น เพราะต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป
ข้าวผัดกระเพรา 60
ข้าวราดแกงกับข้าว 2 อย่าง 70
กาแฟ 40
โค้กเล็ก 40
น้ำเปล่าเล็ก 30
น้ำเต้าหู้ 25
กาแฟร้อน 25
โดยส่วนตัว ผมมองว่าไม่แพง เท่าที่ซื้อกินหลายร้าน บริการดีทุกร้าน กับข้าวก็ตักเต็มจาน
ดูจากต้นทุนที่ต้องจ้างลูกหาบแล้ว ถือว่าราคาไม่แพงเลย
คิดง่ายๆ ข้าว + น้ำ มื้อละ 100 พอดี วันละ 3 มื้อก็ 300 บาท
แต่ผมมีวิธีประหยัดคือ
- ตอนเช้ากินน้ำเต้าหู้ 25 บาท
- เที่ยงกินกาแฟเย็น 40 บาท
- 4 โมงเย็น กินข้าวราดแกง + เป๊ปซี่เล็ก 100 บาท
- 2 ทุ่ม กินน้ำเต้าหู้แก้หนาว 25 บาท
(แต่ในความเป็นจริง บางวันผมก็กินข้าวทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง แล้วแต่อารมณ์)
พยายามเตรียมเงินไปเผื่อๆไว้ จะได้มีเงินซื้อข้าวและมีแรงเที่ยว
พวกขนม กับมาม่าที่เตรียมไปผมไม่ได้กินเลย กินข้าวที่ร้านข้าวแกงอร่อยกว่า :)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)